
ถ้าบอกว่าจะไป แต่ไม่ไปปีนเขาหรือดำน้ำเลย คงมีคนสงสัยว่าแล้วจะไปทำไม? เราก็สงสัย เลยลองไปดู พอไปแล้วก็หลงรักเลย ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ มองไปทางไหนก็ชะอุ่มชุ่มฉ่ำ ทั้งวันทั้งคืนเห็นเมฆพัดผ่านเขา เห็นหมอกไหลผ่านเมือง เงียบ สงบ นักท่องเที่ยวก็น้อยจนน่าแปลกใจ
- คนทุกเพศและเกือบทุกวัยโดยไม่ต้องฟิตร่างกายล่วงหน้า
- คนรักธรรมชาติที่อยากมาชาร์จพลังในเมืองเล็กๆสงบๆ
- คนที่อยากมาเที่ยวในประเทศที่ทุกคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่อง
- คนที่มีวันหยุดสั้นๆ 3-4 วัน เดินทางง่าย แถมสายการบินไทยสมายล์มีไฟลท์บินตรงทุกวันด้วย
ทริปนี้ 4 วัน 3 คืน แต่ใช้เวลาเที่ยวจริงเพียง 3 วัน เน้นเที่ยวตะวันตกของซาบาห์ : Ranau, Kota Belud และ จะกลับมานอนใน KK ทุกคืน
- Kinabalu Park อุทยานแห่งชาติที่เป็นมรดกของโลก
- Ranau : Desa Cattle Dairy Farm ฟาร์มโคนมบนภูเขาสูงที่ทุกคนเรียกว่าเป็นนิวซีแลนด์
- Ranau : Tagal Sungai Moroli Fish Spa สปาปลากลางแม่น้ำสายสีเขียว
- Ranau : Sabah Tea Plantation ไร่ชาแห่งซาบาห์
- Kota Belud : Kadamaian White Water Rafting ล่องแก่งชิวๆ ชมวิว unseen สวยสงบ
- Kota Kinabalu เมืองเล็กๆที่น่าเดินเล่น
—– โคตาคินาบาลู เป็นเมืองหลวงเล็กๆของรัฐ Sabah
รัฐที่แปลว่า The Land Below the Wind ในภาษาท้องถิ่น
ซาบาห์เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียแต่อยู่คนละแผ่นดินกับพวกกัวลาลัมเปอร์และปีนัง ซาบาห์แยกมาอยู่ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว โดยแชร์พื้นที่เกาะร่วมกับอีก 2 ประเทศ คือ บรูไนและอินโดนีเซีย
คนที่นี่จะเรียก Kota Kinabalu ว่า KK เหมือนกับที่เรียก Kuala Lumpur ว่า KL โทษฐานที่ชื่อเมืองตัวเองยาวนัก
—– ซาบาห์มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูงมาก
ไม่ใช่แค่ต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์ในป่า แต่ที่นี่ยังประกอบไปด้วยเผ่าพันธุ์พื้นเมืองกว่า 30 เผ่า ภาษาท้องถิ่นเลยมีมากกว่า 80 ภาษา! เผ่าต่างๆที่ว่านี่รวมถึงเผ่าล่าหัวคนด้วยนะ มีจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเผ่าต่างๆจะแขวนกะโหลกศีรษะไว้หน้าหมู่บ้านเพื่อข่มขวัญเผ่าอื่น ถ้าไม่แขวนจะดูอ่อน หงอๆ แต่ไม่รู้ข่มได้แค่ไหน เพราะแทบทุกเผ่าก็แขวนกันหมด แต่เมื่อที่นี่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก ธรรมเนียมประเภทล่าหัวคนเพื่อเอามาอวดพ่อตาเพื่อขอสาวแต่งงานก็ถูกแบนไป ปัจจุบันทุกเผ่าอยู่รวมกันได้ ไม่ถึงกับละทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนแต่ก็พร้อมเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ มีงานประเพณีหรือเทศกาลรื่นเริงของชาติไหน คริสต์มาส ตรุษจีน หรือวันฉลองอิสลามอะไร คนซาบาห์ก็ร่วมฉลองกับเค้าได้หมด /คุ้นๆ 555
การพิชิตภูเขาคินาบาลูไม่ใช่กิจกรรมเดียวสำหรับการมาที่อุทยานคินาบาลูนี้ สำหรับคนที่ไม่ชอบปีน ไม่ได้ฟิตร่างกายมา หรือเวลาไม่พอ ก็ยังสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ อุทยานคินาบาลูเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงกว่า 4095 เมตรจากระดับน้ำทะเล สูงสุดบนเกาะบอร์เนียว ด้วยความสูงระดับนี้ มองจากที่ไหนในเมืองก็สามารถเห็นมันได้ชัดเจน (ถ้าไม่เจอเมฆเตี้ยๆลอยมาบัง) ระหว่างทางก่อนถึงอุทยานก็มีจุดชมวิวให้แวะถ่ายรูป วิวสวยจริงๆ กดถ่ายไปหลายรูป เพราะทุก 5 นาทีวิวตรงหน้าก็ไม่เหมือนเดิมละ อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลมแรงๆพัดเมฆมาบังภูเขาอยู่เรื่อยๆ สมชื่อดินแดนใต้สายลม ด้านหน้าของจุดชมวิวมีร้านค้าทั้งแผงลอยและตึกแถวที่ชาวบ้านมาขายของที่ระลึกและพวกผักผลไม้ที่พวกเค้าปลูกกัน


อุทยานคินาบาลูนั้นใหญ่มาก ใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศอีก ที่นี่เป็นบ้านของพืชพรรณกว่า 5,000 ชนิดไม่รวมมอส เรียกว่าเยอะกว่าพืชพรรณทั้งหมดในยุโรปและอเมริการวมกัน เป็นแค่อุทยานเดียวแต่กลับมีภูมิประเทศที่หลากหลายถึง 4 สภาพภูมิอากาศเมื่อแบ่งตามระดับความสูง พืชพรรณจึงมีความหลากหลาย มานอนดูหมอกหนาๆที่โผล่ออกมาได้ทั้งวี่ทั้งวัน สัมผัสอากาศเย็นๆ มองดูความชุ่มฉ่ำต้นไม้ใบหญ้าใน botanical garden เดินเล่นดูนก หรือเลือกมาเทรคกิ้งเส้นทางสั้นๆ ก็ได้ มีให้เลือกเยอะเลย เทรลที่สั้นสุดแค่ 15 นาทีเท่านั้น





สำหรับคนที่พร้อมสุดๆสำหรับการพิชิตยอดเขาคินาบาลู ขอให้จองวันปีนล่วงหน้า 6 เดือน เพราะเค้าจำกัดคนขึ้นแค่วันละ 135 คนเท่านั้น
ตอนแรกก็สงสัยว่าฟาร์มโคนมมีอะไรเจ๋ง ทำไมต้องมาเที่ยวฟาร์มโคที่มาเลด้วย เลยรีบเสิชรูปในเนทดู สวยยย น่าไป วัวขาวดำกระจายกันอยู่เต็มทุ่งหญ้า ฉากหลังเป็นยอดเขาคินาบาลูจางๆในเมฆหมอก วิวอลังการจนทุกคนเรียกที่นี่ว่าเป็น New Zealand ของซาบาห์
ติดกันกับไร่ชาซาบาห์คือสปาปลา มันคือให้เราเดินลงไปในแม่น้ำตื้นๆสายสีเขียวให้ปลาตอดนั่นแหละ แต่ปลาที่นี่พร้อมตอดมาก แทบจะมาเกยตื้นรอให้มนุษย์เดินลงไปหา แค่น้ำพ้นตาตุ่ม ปลาตัวโตๆก็รุมละ ที่นี่อยู่ในความคุ้มครองของกรมประมง ไม่อนุญาตให้จับปลามาปิ้งกิน
แต่ใครจะกินลง ในตัวปลาน่าจะมีแต่ขี้ไคลคน 555
(รูปภาพต้นฉบับทั้งหมดจากการล่องแก่งเราขอมาจาก xtreme paddlers ที่เราไปล่องแก่งกับเค้านะคะ เนื่องจากไม่สามารถพากล้องเราเองไปตะลุยน้ำได้ แต่อยากบอกว่าของจริงในวันที่ฟ้าใส สวยกว่านี้มากๆ รูปถ่ายทอดไม่ได้เลย ดีที่สุดในทริปนี้ยกให้ที่นี่)
เกินความคาดหวังไปไกล มันดีมากๆ การล่องแก่งกว่า 2 ชั่วโมงในระยะทางกว่า 10 กิโลเมตรไม่ใช่ปัญหาเลย โชคดีว่าวันนั้นฝนไม่ตก น้ำในแม่น้ำคาดามายันเลยไม่ค่อยแรง แดดที่สดใสก็พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำใสจนมองเห็นเป็นสีฟ้าไปด้วย บางช่วงมองเห็นน้ำเป็นสีฟ้าใสจนอยากจะอาสาหล่นจากเรือลงน้ำไปเลย 555 ใต้น้ำเป็นหินแม่น้ำก้อนมนๆและทรายสีดำ ย่ำๆไปไม่บาดเท้า
ต้องยอมรับเลยว่าความดีงามสูงสุดของที่นี่ไม่ใช่ความสนุก แต่เป็นความรู้สึกอิ่มใจที่ได้เห็นวิวทิวทัศน์ตลอด 2 ข้างทางของแม่น้ำคาดามายัน มันเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ สวยงาม และสงบเงียบเอามากๆ เดี๋ยวๆทั้งลำก็พาย เดี๋ยวๆก็พัก ปล่อยให้น้ำพัดไหลเพื่อชมวิวกันไปตลอดทาง เห็นภูเขาคินาบาลูด้วย
ถ้าอยากล่องแก่งแบบชิวๆ กลางสายน้ำสีฟ้าแจ๋วให้เลือกไปช่วงเดือนกุมภา มีนา ที่ยังเป็นหน้าร้อน น้ำไม่ค่อยเยอะ
เราไปปลายมีนา มือใหม่อย่างเราเลยได้ล่องสบายๆที่ระดับ 1-2 เท่านั้น ล่องกันไปไม่ค่อยจะตกน้ำหรอก ถ้าทีมงานของเรือจะไม่ขยันแกล้ง พยายามหาทางสลัดคนตกน้ำอยู่ตลอด 5555 แต่ถ้ามาช่วงฤดูฝน (ซึ่งแทบทั้งปีเป็นฤดูฝน) ก็อาจจะได้เล่นที่ระดับ 1-4 ได้ แต่ใครสายโหดอย่างล่องแรงๆแบบชัวร์ๆให้ไปเล่นที่ Padas River เลย แก่งที่นู่นจะอยู่ที่ระดับ 3-4
แม่น้ำคาดามายันเพิ่งเปิดให้มีการเล่นล่องแก่งไม่ถึงปี เป็นเส้นทางที่เน้นล่องเพื่อชมวิว สบายๆ คือสบายกันตั้งแต่มาถึงเลย ลงรถปุ๊บก็สามารถขึ้นเรือเพื่อล่องแก่งได้ทันที ไม่ต้องเดินแบกพายไปเป็นกิโลๆเหมือนล่องแก่งบ้านเรา
กลับมาเที่ยวใน KK เมืองหลวงของรัฐกันต่อ
แหล่งกินซีฟู๊ดของคนท้องถิ่น ถึงจะเป็นตลาดกลางคืน แต่อยากแนะนำให้มาตั้งแต่ตอนเย็นๆ มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ เสร็จแล้วก็ไปจัดการกับซีฟู๊ดจากร้อนกัน มีพวกปลานกแก้วสีๆ กุ้งมังกร และหอยเชลลให้เลือกค่อนข้างเยอะ ราคาดีด้วย
พูดถึงอาหารกันบ้าง อาหารที่นี่รสชาติวัตถุดิบแบบดิบพุ่งขึ้นจมูกมาก กินผักเป็นผัก ดอกไม้เป็นดอกไม้ ปลาเป็นปลา แต่ที่ดีคือกุ้งเป็นกุ้ง ปูทะเลเป็นปูทะเล หวาน สด 555 ส่วนอาหารท้องถิ่นนั้นอยากให้มาลองกันเอง มีความประหลาดใจในหลายอย่าง
ขนาดปกติเราเป็นคนชอบอาหารมาเลนะ
แป้งสาคูหนืดๆ เวลากินให้ราดทับด้วยน้ำซุปสีเหลืองร้อนๆ เราว่าเหมือนแกงไตปลาเวอร์ชั่นไม่เผ็ด
จานนี้เราเป็นคนไปตักมาเอง อาหารมีหลายสิบอย่าง เน้นผัก เน้นปลา กว่าเราจะจัดเรียงลงกระจาดใบตองเสร็จ เหนื่อยค่ะ โปะๆมาเลยอาจง่ายกว่า 555
จบแล้ว 3 คืนในโคตาคินาบาลู
ข่าวดีคือ ใครอยากไปสามารถเลือกไฟลท์บินตรงกับสายการบินไทยสมายล์ได้เลย เค้าเพิ่งเปิดให้บริการเส้นทางนี้เมื่อ 26 มีนาคมที่ผ่านมานี้เอง
ราคาโอเค บินสบายๆไม่ถึง 3 ชั่วโมง ไม่ต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่เคแอลให้เสียเวลาแล้ว
เนื่องจากโชคดีได้ขึ้นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ตอนไปถึง ทางสนามบินที่โคตาคินาบาลูเลยมาฉีดน้ำต้อนรับ
สุดท้ายนี้ขอบคุณสายการบินไทยสมายล์
และขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอย่างการท่องเที่ยวมาเลเซียและการท่องเที่ยวซาบาห์
ขอบคุณที่พาเราไปเห็นมาเลเซียในมุมแปลกใหม่ เป็นอีกที่ที่อยากกลับไปซ้ำ อยากนั่งเรือล่องแม่น้ำดูช้างท้องถิ่นใกล้ๆ ดูลิงจมูกยาวที่มีที่เดียวในโลก อยากเดินทางข้ามเกาะด้วยซิปไลน์เป็นทาร์ซาน อยากไปหมู่บ้านเผ่าต่างๆ อยากดำน้ำ อยากขึ้นคินาบาลู อยากเที่ยวฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียวด้วย มีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ ที่แม้แต่คนมาเลเซียเองก็ยังไม่รู้จัก ลองเข้าไปเลือกดูได้เลยค่ะ sabah tourism :)