ฤดูที่ธรรมชาติเต็มไปด้วยสีสันแต่กลับเป็นฤดูสุดท้ายที่คนจะนึกถึง
เราเอา 8 สถานที่น่าเที่ยวในหน้าร้อนมาฝาก เผื่อจากถูกลืมจะเป็นถูกหลง :)
ญี่ปุ่นเป็นประเทศยอดฮิตที่คนไทยไปกันได้ซ้ำๆ ทั้งไปดูซากุระ หิมะ และใบไม้เปลี่ยนสี แต่ไม่รู้จะมีใครนึกถึงฤดูร้อนกันบ้างรึเปล่า เชื่อว่าสิ่งแรกที่แวบเข้ามาคือ อากาศร้อนไปทำไม เอาเข้าจริงเราว่าก็เหมือนเมืองไทยนะ คนไทยรับได้แน่นอน แถมถ้าไปเที่ยวที่สูงๆ ยังพอมีอากาศหนาวให้ชื่นใจด้วย ฤดูร้อนยังเป็นช่วงเวลาสำหรับคนที่รักการปีนเขาเข้าอุทยาน เพราะภูเขาสูงส่วนใหญ่เปิดให้เทรคได้เฉพาะฤดูนี้
ถ้าอยากเก็บให้ครบทุกที่ควรมีเวลาซัก 8 – 9 วัน
ทริปนี้เดินทางช่วงปลายกรกฎา – ต้นสิงหา
- Ichinoseki : ป่าไฮเดรนเยีย
- Geibikei : ล่องเรือฝ่าหมอกในหุบเขา
- Jodogahama : ถ้ำสีฟ้าและฝูงนางนวล
- Zao : ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ
- Kamikochi : สายรุ้งแห่งเจแปนแอล์ป
- Tokyo : บึงบัวกลางเมือง
- Okayama : เก็บพีชขาวในสวน
- Bikan : หมู่บ้านโบราณริมคลอง
- แถมทริคเดินทาง
เราบิน thai airasia x ไปลงโตเกียวนาริตะ แต่ขากลับกลับจากคันไซในโอซาก้า และเดินทางไปแทบทุกที่ในญี่ปุ่นด้วยพาส 2 ตัวจาก kkday ใครอยากรู้ว่าควรซื้อพาสมั้ย ตัวไหนดี อ่านท้ายรีวิวได้เลยค่ะ
1. Ichinoseki : ป่าไฮเดรนเยีย
อยากดูไฮเดรนเยียบานเต็มป่าก็ต้องมาหน้าร้อน!
แล้วต้องขอให้ฝนช่วยตกหน่อย หมอกจะได้หนาๆ วิวเทพนิยายชัดๆ
ดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า อะจิไซ จะบานสวยๆแค่กรกฎา มันไม่ได้มีแต่ทรงกลมๆนะ เหลี่ยมแบนเค้าก็มี เราไปปลายเดือนจะได้เห็นอะจิไซสีขาว ฟ้า เยอะสุด ส่วนชมพู ม่วง น้ำเงิน เหลืออยู่ไม่มากแล้ว อะจิไซมันก็บานทั่วญี่ปุ่น แต่พอดีเห็นรูปดอกไม้เมือง ichinoseki เข้าก็รู้เลยว่า ถ้าไปดูไฮเดรนเยียเมื่อไหร่จะต้องไปที่นี่ให้ได้
วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ แต่คนญี่ปุ่นก็มาเที่ยวน้อยมาก นานๆทีจะมีผ่านมาซักคู่นึง ป่าดอกไม้โรแมนติคขนาดนี้ เค้าก็ต้องมากันเป็นคู่ๆ ทางเดินจะลัดเลาะไปตามป่า โค้งพับไปพับมา อยากเดินเที่ยวให้ทั่วจริงๆ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ภาษาอังกฤษดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักเวลามาเที่ยวเมืองเล็กๆในญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เราสื่อสารกับคนท้องถิ่นด้วยวิธีวาดรูปและใช้แอพแปลภาษาเอา สื่อสารงูๆปลาๆจนมีคุณลุงใจดี ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในป่าดอกไม้อาสาพาไปส่งให้ถึง geibikei ที่เที่ยวลำดับต่อไป
ไปเมื่อไหร่ดี : 1 – 31 กรกฎาคม เท่านั้น
เดินทางยังไง : จากเมือง ichinoseki ให้ขึ้นบัส #31 ที่ชานชาลา 7 มาลงที่ป้าย mizukami (32mins / 560yen) สังเกตจากป้ายบนรถบัสดูก็ได้ว่าราคาขึ้นเป็นเลข 560yen เมื่อไหร่ก็คือป้ายนั้น พอลงมาจะมีรถสีน้ำเงินคันเล็กๆจากสวนมารอรับส่งให้ฟรี
2. Geibikei : ล่องเรือฝ่าหมอกในหุบเขา
ต้นฤดูร้อนคือช่วงเวลาเดียวที่หุบเขา geibikei จะเหมือนมีมนต์บางๆ หมอกขาวๆที่ลอยคลุมผิวน้ำคือ summer mist ที่โผล่มาเฉพาะช่วงเวลานี้ตามชื่อ จริงๆไม่รู้มาก่อนหรอก พอเห็นตอนแรกก็แปลกใจเลยถามเค้าดู นั่งดูวิวไปเพลินๆพร้อมกับกินแตงกวาเย็นที่ขายบนเรือ เรือลำแบนแล่นฝ่าหมอกไปพร้อมกับเสียงร้องเพลงพื้นบ้านจากคนพาย นกน้ำปีกสีน้ำเงินขยันโฉบมาขอของกิน นกน้ำพวกนี้ว่ายตามเรือตลอดเวลา ถ้าเรือพายไปเร็วจนมันว่ายน้ำตามมาไม่ทันเจ้านกก็จะบินตามมาแล้วค่อยลงว่ายต่อ
geibikei เป็นหุบเขาหินปูนที่เกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำ satetsu วิธีเที่ยวมีวิธีเดียวคือให้เรือท้องแบนลำกว้างพาเราเที่ยวไปตาม จุดชมวิว 17 จุด ตลอดลำน้ำ ลองกดเข้าไปดูรูปหน้าตาจุดต่างๆดูได้ โดยมีฝีพายที่นอกจากจะพายเรือ ร้องเพลง ยังทำหน้าที่ไกด์อธิบายเรื่องราวต่างๆทั้ง 17 จุดด้วย แน่นอนว่าภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ เราได้แต่กางแผนที่ดูตามไปด้วย แต่ละจุดมันใกล้กันมาก ก้มๆเงยๆ อ่าว ข้ามไปจุดถัดไปละ
เรือเทียบฝั่งที่จุดสุดท้ายให้เราเดินต่อเอง ที่สุดทางมีคุณลุงยืนขายลูกหินกลมๆเล็กๆอยู่ หินแต่ละก้อนจะมีตัวอักษรญี่ปุ่นสลักไว้เป็นเหมือนเครื่องลาง โชค สายสัมพันธ์ ความปรารถนา ความรัก โรแมนซ์ ลาภ ลิขิต อายุยืน ทรัพย์สมบัติ และรายได้ แปลได้ขนาดนี้เพราะเค้ามีภาษาไทยเขียนกำกับไว้ให้เลย เราเลือกที่ชอบมา 5 ลูก แล้วจัดการอธิษฐานด้วยการปาข้ามลำธารให้ลูกหินเข้าไปนอนสวยๆในถ้ำเล็กกลางผา ยาก งานหินของจริง! เครื่องลางมีเท่าไหร่ ไม่ปาตกน้ำ ก็กระแทกหน้าผาแตกกระจายไปพร้อมกับคำอธิษฐาน T T
ไปเมื่อไหร่ดี : บรรยากาศเขียวๆพร้อมหมอกแบบนี้ต้องเดือนกรกฎา
เดินทางยังไง : train นั่งจากสถานี ichinoseki ไปลงที่สถานี geibikei แล้วก็เดินต่ออีกหน่อย
รถไฟสายนี้จะมีขบวนโปเกมอนด้วยนะ เป็นขบวนพิเศษ jrpass ขึ้นได้ฟรีแต่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า
bus from ichinoseki สามารถนั่งบัส #31 ที่ชานชาลาหมายเลข 7 มาลงที่ป้าย geibikei (42mins / 620yen) ถ้าต้องการนั่งบัสไปกลับให้ซื้อแบบ 1-day pass ของย่านนี้ไปเลยจะคุ้มกว่า
bus from hydrangea garden เนื่องจากอยู่ใกล้สวนไฮเดรนเยียจึงสามารถเที่ยวต่อกันได้เลย โดยขึ้นบัส #31 จากป้าย mizukami หน้าสวนมาลงที่ geibikei (10mins / 380yen) แล้วเดินต่อ
โปเกม่อน! ไม่ได้อยู่ในสวนสนุก แต่เป็นรถไฟที่วิ่งจริงๆ โปเกมอนจะวิ่งไปมาแค่แถวเมือง ichinoseki ในภูมิภาค tohoku ที่เราขึ้นไปดูไฮเดรนเยียเท่านั้น วิ่งเพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กๆในโทโฮคุที่ต้องเจอกับสึนามิ เด็กๆจะได้มีรอยยิ้มอีกครั้ง น่ารักมาก :)
3. Jodogahama : ถ้ำสีฟ้าและฝูงนางนวล
sanriku coast เป็นชายฝั่งที่เต็มไปด้วยอ่าวและหน้าผาทอดยาวสลับกันไปกว่า 200 กิโลเมตร
อ่าว ผา อ่าว ผา อ่าว ผา ตลอดชายฝั่งมีที่เที่ยวเยอะมาก แต่หลังจากเจอแผ่นดินไหวและสึนามิไปก็ทำให้รถไฟแถบนี้เป็นอัมพาตเพราะรางพังอยู่บ่อยๆ ธรรมชาติบางส่วนอาจเสียหายไปบ้าง แต่ของอร่อยขึ้นชื่อของที่นี่ยังคงอยู่ นั่นคือ uni ไข่หอยเม่น! หวาน มัน เพราะพวกหอยเม่นกินสาหร่ายทะเลอย่างดีของที่นี่เป็นอาหารทุกคนรู้กันด้วยนะว่าไข่หอยเม่นจะอร่อยสุดก็ต้องฤดูร้อน
เนื่องจากที่เที่ยวแต่ละแห่งอยู่ไกลกันมาก บางจุดต้องเหมาแท๊กซี่เข้าไปเราเลยเลือกนั่งบัสมาที่ง่ายๆ ใกล้ๆ อย่าง jodogahama beach เห็นชื่อน่ารักแบบนี้แต่ความหมายของชื่อกลับสูงล้ำนะ มันคือ pure land ในวิถีพุทธ แดนสุขาวดีบีชชช! โจโดเป็นเหมือนเวิ้งหาดเล็กๆแคบๆ ในทะเลเต็มไปด้วยเขาหินแหลมๆคมๆ แต่คนญี่ปุ่นก็ยังมาพักผ่อนนอนเล่นน้ำกันแน่น เอาเตนท์มากางเพื่อนอนกลางวันยังมี
อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นชายฝั่งแปซิฟิคที่ต้องรับมือกับสึนามิอยู่ตลอด ตลอดทางที่เดินเราจึงเห็นป้ายเตือนสึนามิเป็นระยะๆว่าถ้าคลื่นยักษ์มาต้องวิ่งขึ้นเนินไปจุดไหน สึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2011 ก็ได้ทำลายชีวิตผู้คนบนชายฝั่งนี้ไปไม่ใช่น้อย สูญหายกว่า 20,000 คน แถมบางหมู่บ้านยังสลายไปทั้งแถบ
วันนี้มาเที่ยว aonodokutsu ที่ jodogahama เรียกง่ายๆว่า blue cave ละกัน ตอนลงเรือเพื่อไปถ้ำฟ้าเค้ามีแจกข้าวเกรียบกุ้งคาลบี้ให้คนละถุงด้วย ในขณะที่เราฉีกกิน แต่เหมือนว่าทุกคนจะฉีกแล้วโยนขึ้นฟ้าเลี้ยงนกนางนวลกันหมด เจ้านกพวกนี้ก็โฉบไปมาตามหาข้าวเกรียบ หิวโหยๆ บางตัวถึงกับมาเกาะบนหัวเราเพื่อรอกิน
ถึงจะชื่อ blue cave แต่เอาเข้าจริง น้ำ เขียว มาก ตอนเข้าไปในถ้ำน้ำจะเขียวอื๋อเลย ใครบอกถ้ำมรกตจะโกรธมาก มาตั้งไกล ภายในถ้ำจะมีคลื่นซัดไปมา ละอองทะเลฟุ้งไปทั่ว น้ำอาจจะดูเขียวเพราะหินในถ้ำมันเขียวๆ มีเหลืองๆ แดงๆ ปนด้วยนะ ถึงจะไม่บลูเหมือนชื่อ แต่นี่ก็ยังน่ามามากอยู่ดี
เดินทางยังไง : จากเมือง morioka สามารถเดินทางมาเมือง miyako ด้วยบัสได้ฟรี เนื่องจากทางรถไฟยังปิดซ่อมเพราะแผ่นดินไหว (2017) จาก miyako ให้ขึ้นบัสที่ชานชาลาหมายเลข 3 ไปลงที่ jodogahama visitor center หรือลงหน้าหาด oku-jodogahama beach เลยก็ได้ ( 13mins / 180yen) สองป้ายนี้เดินถึงกันได้ใน 15 นาที
4. Zao : ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ
เกลียดหมอกก็ตอนนี้แหละ วิวที่อยากมาดูถูกหมอกกลืนเกลี้ยง!
zao เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่หลับไหล นอกจากการเทรคไปตามยอดเขาต่างๆ นั่งกระเช้าขึ้นมาชมวิว บริเวณด้านล่างยังมีเมืองออนเซ็นหน้าตาน่ารัก บรรยากาศมีความ zermatt เบาๆ และยังเต็มไปด้วยสกีรีสอร์ทสำหรับในฤดูหนาวอีก เรียกว่า zao นี่เที่ยวได้ทุกฤดู
สำหรับฤดูร้อน ถึงจะเรียกร้อนแต่พอขึ้นมาก็พบว่าอากาศหนาวมากเลย ลมแรง มีละอองฝนและหมอกก็หนาสุดๆ เสื้อหนาวไม่มีมาซักตัว ดีว่ามีเสื้อฝนติดกระเป๋ามาด้วย กันหนาวไม่ได้ กันลมฝนก็ยังดี เดินไปเดินมาเลยมีแต่เสียงลมตีเสื้อฟึ่บๆๆๆ
ที่จริงทะเลสาบสีเขียว okama crater lake ที่ตั้งใจมาดูต้องอยู่ตรงปากปล่องภูเขาไฟข้างหน้านี่แหละ รอแล้วรอเล่าทะเลสาบก็ไม่เผยตัวซักที ยืนดูความว่างเปล่าไปเรื่อยๆจนถึงเวลากลับลงไปเมืองออนเซ็นข้างล่างแล้ว จะรอต่อก็ไม่ได้เพราะรถมีแค่วันละรอบเอง นั่งลงมาได้ซัก 15 นาทีเท่านั้นแหละ หมอกเกลี้ยง เมฆเกลี้ยง ฟ้าแบบฟ้าาา T T ว่าแล้วก็เข้ากูเกิ้ลไปดูรูปทะเลสาบปากปล่องให้เจ็บใจเล่น ว่างๆลองเสิช zao okama ดูเองนะ
ไปเมื่อไหร่ดี : สิงหา-ตุลา เป็นเดือนที่คนมาเทรคกันเยอะเลยมีบัสวิ่งทุกวันจากเมือง yamagata
ปลายเมษา-กรกฎา บัสมีแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์จากทั้งเมือง yamagata และ sendai
เดินทางยังไง : มีหลายวิธีมากเพราะที่นี่ครอบคลุมหลายจังหวัด เดินทางได้ทั้งจาก yamagata, sendai หรือขึ้น ropeway จาก zao onsen แต่เราขอแนะนำวิธีที่สะดวกสุดเลยละกัน
จากเมือง yamagata ให้เดินมาขึ้นบัสที่ชานชาลา 1 เพื่อไปยัง zao kattadake มีแค่รอบเดียวคือ 9:30 // ส่วนขากลับลงมามีแค่รอบเดียวคือ 13:00 (1hr36mins / 2050yen)
5. Kamikochi : สายรุ้งแห่งเจแปนแอล์ป
ที่เรียกว่าสายรุ้งเพราะ ธารน้ำสีมินท์ ทะเลสาบสีเหลืองส้มแดง ป่าเขียว ภูเขาน้ำเงิน แล้วยังทุ่งหญ้าสีมะนาว
ขอเล่าให้ฟังหน่อย kamikochi เนี่ยเป็นเพียงแค่ส่วนนึงของอุทยาน chubu sangaku national park มันสวยเตะตาบรรดานักท่องเที่ยวมากจนทุกคนยกให้คามิโคจิเป็นตัวเอกประจำอุทยาน อุทยานชูบุตั้งอยู่ที่ใจกลางของเทือกเขาเจแปนแอล์ปเจแปน โดยคนแรกที่เปรียบเทือกเขานี้ว่าเหมือนแอล์ปจริงในยุโรปก็คือนักสำรวจชาวอังกฤษคนนึง กลับเข้าเรื่องดีกว่า เจแปนแอล์ปนี่สูงใหญ่มาก สูงสุดบนเกาะญี่ปุ่นเลย แถมยังเป็นฉากหลังให้กับอุทยานชูบุและคามิโคจินี้ด้วย ถ่ายรูปมาถึงได้ติดกลุ่มยอดขาวๆสูงๆไง แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นยอดหรอก อารมณ์เดียวกับฟูจิ เมฆบังตลอด!
กลับมาที่คามิโคจิของเราอีกที วิวสวยๆที่ทำให้หน้าร้อนของที่นี่วิเศษสุดๆกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ถ้าขยันเดินหน่อย รับรองไม่ผิดหวัง
- kappa bridge
จุดชมวิวกลางคามิโคจิที่ไม่ควรพลาดก็คือบนสะพานคัปปะ kappa bridge ตัวกัปปะนั่นแหละ ถ้าหันไปทางต้นน้ำจะเห็นภาพแม่น้ำ azusa สีมินท์ใสๆไหลมาระหว่างหุบเขา ฉากหลังเป็นเจแปนแอล์ปกับยอดที่ชื่อ hotakadake 3190m above sea level และถ้าหันไปทางทิศที่น้ำไหลก็จะเจอกับยอดภูเขาไฟ yakedake ที่ยังแอคทีฟ - taisho pond
การปะทุของภูเขาไฟ yakedake เมื่อร้อยปีก่อนได้ทำให้โคลนจำนวนมากสไลด์ลงมาปิดกั้นแม่น้ำ azusa ที่ไหลผ่านคามิโคจิจนเกิดเป็นสระน้ำไทโชขนาดย่อมๆ เราจะเห็นพวกซากต้นไม้ท่อนตรงๆบางส่วนทั้งยืนต้นและนอนต้นเป็นหลักฐานของการระเบิดอยู่รอบๆจนทุกวันนี้ ทะเลสาบสีเขียวกับภูเขาไฟตัวต้นเหตุตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง สวยจนมีศิลปินพกกระดาษและสีน้ำมานั่งวาดรูปกันเยอะเลย
- tashiro pond
ทาชิโร่เป็นเหมือนทะเลสาบเล็กๆระหว่างที่ลุ่ม ถึงคามิโคจิและอุทยานชูบุจะหนาวจัดแค่ไหนในฤดูหนาว แต่ทาชิโร่ก็ไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย เพราะมันมีน้ำพุร้อนอยู่ข้างใต้ไง นี่คือที่ที่เราขอเรียกมันว่าทะเลสาบสีสนิม ดูสีน้ำในรูปสิ สาเหตุก็เพราะในน้ำมีธาตุเหล็กอยู่เยอะ ตรงไหนมาก สีก็จะยิ่งแดง แถมโชคดีเจอแม่เป็ดพาลูกๆมาเล่นน้ำด้วย วิ่งกันปรู๊ดๆน้ำกระจาย
อย่าคิดว่ามีแต่ scenic trail บ้านๆ เบบี้ๆ ให้เดินชิว อุทยานนี้มี เทรลโหดๆให้ปีนป่ายด้วยนาจาา ลองเข้าไปหายอดเขาที่ถูกใจในกลุ่มเจแปนแอล์ปแห่ง chubu sangaku national park ได้เลย มีให้เลือกอยู่ 6 ยอด เริ่มตั้งแต่ระดับ beginner 5 ชั่วโมง ไปจนถึง expert 26 ชั่วโมง!
ไปเมื่อไหร่ดี : เปิดแค่กลางเมษา-กลางพฤศจิกา ส่วนหน้าหนาวปิดจ้า
ถ้าชอบแบบในรูปต้องไปมิถุนา-กันยา ถ้าอยากเห็นเจแปนแอล์ปสวมหมวกขาวก็ต้องกลางเมษา-พฤษภา อยากเห็นใบไม้เปลี่ยนสีก็ตุลา-พฤศจิกา แถมๆ >> ไปเดือนไหนควรแต่งตัวยังไงดี
เดินทางยังไง : from nagano ใช้ jrpass ขึ้น shinkansen จากโตเกียวไปลงที่ nagano (1.5hrs) จากนั้นนั่งบัสตรงถึงคามิโคจิได้เลย แต่บัสมีแค่วันละรอบนะ (2.5hrs / 2,900yen) >> เช็ครอบบัส
from matsumoto ใช้ jrpass นั่งรถไฟมาลงที่เมือง matsumoto (2.5-3hrs) แล้วขึ้นบัสไปที่ shinshimashima เพื่อต่อบัสอีกคันไปยังคามิโคจิ (30+60mins / 2450yen) >> เช็ครอบบัส
6. Tokyo : บึงบัวกลางเมือง
ใต้ใบบัวสวยจัง เพิ่งจะรู้ก็ต้องลมพัดมาแวบนึงแล้วใบเปิด หลังจากนั้นเลยรอแต่ลม 55
shinobazu pond ตั้งอยู่ในบริเวณของ ueno park ที่นี่โด่งดังมากเวลาซากุระบาน เราบังเอิญเดินผ่านในหน้าร้อนโดยไม่คิดว่าจะเจออะไรกลับได้เจอบัวเต็มเลย กลางวันเป็นเวลาเที่ยวของผู้สูงวัย ไม่น่าเชื่อ มีทั้งแบกกล้องยักษ์ๆ มีทั้งใช้กล้องฟิล์มแบบคุณป้าคนนี้ เด็กๆก็นั่งรถมาดูบัวด้วย
ไปเมื่อไหร่ดี : กรกฎา-สิงหา
เดินทางยังไง : เมโทรสถานี ueno แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
7. Okayama : ไปเก็บพีชขาวในสวน
พอถึงต้นเดือนสิงหาคม ต้นพีชหมายเลข 1 okayama hakuto ก็สุกหอมพร้อมเก็บ มันคือพีชขาวชื่อดังของโอคายามะ และโด่งดังทั่วญี่ปุ่นว่าเป็นพีชที่ฉ่ำน้ำที่สุด เราลงชื่อไว้ในเว็บไซท์ของสวน tomomien ก่อนแล้วว่าจะมาเก็บพีชหรือโมโมะ 2 ลูก และขอกินแบบเย็นๆอีก 2 ลูก วันนี้เลยนั่งรถบัสมาถึงเป็นคนแรกเลย ตื่นเต้นกับของอร่อย!
คุณลุงเจ้าของสวนเข้ามาสอนเราเก็บพีช เราต้องเบาๆ ถนอมมันหน่อย จับแบบใช้อุ้งมือโอบมันไว้มือนึง อีกมือจับขั้ว แล้วก็บิดคลิกเลย จะได้พีชที่ผิวสวยๆ ไม่มีรอยช้ำของนิ้ว ลุงน่ารัก พูดไปยิ้มไปอย่างคนมีความสุขและหลงใหลในงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเก็บโมโมะหอมๆลงกล่องเรียบร้อยก็ถึงเวลากินซะที เค้าจะเอาพีชสดที่แช่ไว้เย็นๆมาเสิร์ฟพร้อมกับมีดและถังน้ำ พีชจะอร่อยที่สุดเมื่อแช่ไว้ซัก 2 ชั่วโมง ถ้าแช่นานกว่านี้อาจจะเสียรสชาติ น้อยไปก็ไม่อร่อยจ้า เนื่องจากเค้าสอนวิธีเก็บแต่ไม่สอนวิธีปอก จริงๆวิธีคือให้ผ่าขวางแล้วหมุนบิดคล้ายการปอกอโวคาโด แต่เราดันผ่ากลางผิดแนว หมุนเปิดไม่ออก สุดท้ายเลยกัดง่ำๆไปทั้งลูกเลย ฉ่ำสะใจ น้ำพีชหอมๆ ไหลเยิ้มไปหมด หอมติดมือจนนั่งดมมือตัวเองได้เรื่อยๆ 55
ไปเมื่อไหร่ดี : 1 กรกฎา – 15 สิงหา มีพีชหลายพันธุ์ แต่ถ้าเป็นพีชขาวต้องสิงหาเท่านั้น
เดินทางยังไง : จากสถานีรถไฟ jr okayama ให้ออกฝั่ง east gate เพื่อมาขึ้นบัสที่ชานชาลา 12 บอกที่บูธขายตั๋วก็ได้ว่าไป tomomien farm หรือแค่บอกว่าพีชๆ เค้าจะส่งโพยการเดินทางมาให้ คือขึ้นบัสที่ปลายทางเป็น neopolis higashi 6 หรือ neopolis nishi 9 เพื่อมาลงที่ป้าย shimoichi (40mins / 1800yen) เดินต่ออีกซัก 10 นาทีแล้วจะมีรถจากสวนขับมารับ ยุ่งนิดหน่อยกับการลงป้ายบัสที่ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ ทางที่ดีคือบอกคนขับล่วงหน้า ให้คนญี่ปุ่นบนบัสช่วยเตือน หรือมาร์คป้ายที่ต้องลงไว้ในกูเกิ้ลแมพเลย
8. Bikan : หมู่บ้านโบราณริมคลอง
ไม่ไกลจากเมือง okayama ที่เราไปเก็บลูกพีชจะมีย่านเมืองเก่าที่น่าสนใจอยู่แห่งนึง kurashiki bikan คุระชิกิบิคัง มีความหมายประมาณว่า เมืองคลัง เนื่องจากหลายร้อยปีก่อนในสมัยเอโดะที่นี่เคยเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคลังสินค้าอย่างพวกข้าว อีกทั้งยังเป็นเมืองที่รุ่งเรืองด้านการค้าขายด้วย
ในยุคนี้คลังเหล่านั้นถูกปรับให้เป็นทั้งร้านค้า หอศิลป์และมิวเซียมไปหมดแล้ว แต่ความคลาสสิกของตึกต่างๆยังคงอยู่ หน้าตาเมืองนี้จะไม่ได้ดูญี่ปุ่นจ๋า เหตุเพราะได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากยุโรปตะวันตกนั่นเอง เราสามารถเดินเล่นไปตามตรอกต่างๆ หรือจะกระโดดลงเรือล่องไปตามคลองก็ได้ ในคลองมีปลาคาร์พรวมกลุ่มกันในเงาของต้นวิลโลว์ด้วย
แดดร้อนเปรี้ยงๆ ใจนึงไม่ชอบแต่อีกใจก็รักเพราะมันทำให้ต้นวิลโลว์ริมคลองดูเขียวใสและน้ำก็มีสีสันขึ้น
วันนี้มันร้อนจนเอะอะเราก็เข้าร้านขนมหาพีชเย็นๆกินตลอด มาเมืองพีชทั้งทีเลยใช้โอกาสให้เต็มที่ น้ำพีช เยลลี่พีช น้ำแข็งไสพีช โซดาพีช พีชสดจากสวนทั้ง 2 ลูกที่ยัดไปเมื่อเช้านี่ไม่พอจริงๆ
ใครสนใจของกินฤดูร้อน ตามไปอันนี้เลยค่ะ >> JAPAN yummy summer : อร่อยดับร้อน
ไปเมื่อไหร่ดี : เที่ยวได้ตลอดแหละ สีสันเปลี่ยนไปตามฤดู
เดินทางยังไง : รถไฟจากเมือง okayama ไปลงที่ kurashiki แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
ทริปนี้บิน thai airasia x เวลาดี ราคาดี โดยเฉพาะหน้าร้อนยิ่งถูกใหญ่ อยากแนะนำว่าาาา
- น้ำหนักกระเป๋า : 5-7 วันสำหรับสายเที่ยวแบบช้อปแค่นิดๆ คือ ขาไป 15 kg ส่วนขากลับเราว่า 20 kg กำลังดี ถ้าไปหลายคน ก็ให้คนนึงเอาเกินไว้หน่อยก็ดีค่ะ เผื่อไปแชร์ๆกันได้ ไม่งั้นซื้อเพิ่มตอนเช็คอินจะแพง ไปญี่ปุ่นทั้งที ใครไม่ช้อป ไม่ซื้อขนมอะไรกลับบ้านเลย คือใจแข็งมาก ยกย่องๆ
- เลือกที่นั่ง quiet zone : จากประสบการณ์คือขาไปไฟลท์ดึกเครื่องมักเต็ม แต่ขากลับจะว่างๆหน่อย ถ้านั่ง quiet zone ก็จะได้ครองทั้งแถว! นอนยาวถึงกรุงเทพไปเลย โซนนี้จะเปิดไฟสีฟ้าพักผ่อนๆ
การเดินทางในญี่ปุ่นตลอดทั้งทริป เราใช้พาส 2 ตัวจาก kkday มั่นใจว่าใช้คุ้มสุดๆ
- ขึ้น shinkansen จนได้ตั๋วฟ้ามาเป็นกระตั้กแบบนี้ ถ้าไม่ใช้ jrpass กลับบ้านคงมีกินแกลบ
** ตอนนี้กำลังเซลนะ ซื้อได้ถึง 1ตุลา แต่ใช้ได้ถึง 21ธันวา แค่ใส่โค้ด: JPKKDAYSEP17 - ส่วนใบแดงๆคือ tokyo metro pass แบบ 24 ชั่วโมง เหมาะกับการตะลุยกินในโตเกียวที่สุด
ควรซื้อพาสมั้ย พาสตัวไหนคุ้ม เราลองยำๆขึ้นมา งงถามได้นะ
- ควรซื้อพาสมั้ย คำถามยอดฮิตๆๆ อยากให้ลองเอาเส้นทางไปคำนวณใน hyperdia หรือ googlemap มันจะบอกราคาให้ด้วยนะ ปกติเราไม่ซื้อ jr pass ถ้าเที่ยวแค่ 2-3 เมืองและเดินทางข้ามแต่ละเมืองไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง แต่ jrpass จะคุ้มสุดๆถ้าเดินทางเปลี่ยนเมืองตลอด 6-7 วัน มีเส้นทางที่ต้องนั่งรถไฟยาวๆเกิน 4-5 ชม เพราะเส้นทางไกลจะแพงแล้วยังเสียเวลา ไปขึ้น shinkansen เพื่อเซฟเวลาแทนดีกว่า
- jrpass ตัวที่เราใช้คือ 7 วันติดกันเลย (ไม่ได้ตัดตอนครบ 24 ชั่วโมงนะ) เราสามารถไป activate เปิดใช้พาสได้ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางจริงได้ แค่แจ้งเค้าว่าอยากเริ่มใช้วันไหน วันแรกที่เริ่มใช้จริงจะได้ออกแต่เช้าได้เลย ไม่ต้องเสียเวลามาต่อแถวเปิดตั๋ว
- ถ้ามีเวลาเที่ยวแค่ 4-5 วัน แนะนำให้ซื้อ jr east pass – tohoku area แล้วเที่ยวทริปหน้าร้อนฉบับมินิแค่ tohoku (ไฮเดรนเยีย ichinoseki, ล่องเรือ geibikei, ถ้ำฟ้า jodogahama, ภูเขาไฟ zao) แทนดีกว่า ถูกกว่าเกือบครึ่งด้วย
- การมีพาสทำให้ได้ที่พักถูก! เพราะตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆที่พักมักจะแพง การมีพาสทำให้เราเลือกไปนอนเมืองข้างๆแทนได้ นั่งชินคันเซ็นออกไปซัก 20 นาทีก็อาจได้ที่พักที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง
- มีที่นั่งในโซนโล่งๆ นั่งสบายไม่เบียดใคร เพราะจองที่นั่งได้ฟรี ไม่ต้องไปถึงสถานีล่วงหน้านานๆเพื่อต่อแถวแย่งที่นั่งโซน non-reserved แล้วบางขบวนถ้าไม่จองที่นั่งก็ไม่มีสิทธิขึ้นด้วยนะ ถ้าอยากจองที่นั่ง shinkansen แนะนำให้เอารอบรถไฟของทั้งทริปจดใส่กระดาษแล้วไปจองตามสถานีเล็กๆ นอกเมืองดีกว่า สถานีในโตเกียวมักจะต้องต่อแถวเกือบชั่วโมง
- ถ้าอยู่เกิน 7 วัน จัดวันที่เกินให้มาอยู่ในโตเกียวก็ดีค่ะ แล้วซื้อ tokyo metro pass เพื่อเที่ยวในโตเกียวเอา มีให้เลือก 24, 48, 72 ชั่วโมง ใครควรซื้อ? คนที่เดินทางขึ้นลงมากกว่า 5 สถานี/วัน คนที่อยากตระเวนกินนี่เหมาะเลย เพราะสถานีเมโทรมันจะยิบย่อย คลุมเป็นตาข่ายทั่วโตเกียว ในขณะที่รถไฟ jr จะวิ่งเป็นวงกลมผ่านเฉพาะย่านสำคัญ
ยาวไปหน่อยแต่จบแล้ว
ครั้งหน้าจะกลับไปที่ฤดูฮิต ..ใบไม้เปลี่ยนสี
Pingback: JAPAN summer : อร่อยดับร้อน | Above Sea Level