จะแปลกมั้ย ถ้าสิ่งที่ชอบที่สุดในทริปจะเป็นรถไฟ ยิ่งวิ่งออกชนบทไปเรื่อยๆ รอบตัวก็ยิ่งไล่สีสวยงาม ต้นไม้จากเขียวเริ่มเป็นเหลือง ส้ม แดง สดใสยิ่งกว่าภาพสีน้ำมัน
อุณหภูมิที่พยากรณ์ไว้ว่า 15-20 องศา แต่กลับลดฮวบถึง 0 เมื่อไต้ฝุ่นถล่ม สนุกดีที่ตอนเช้าตื่นมาต้องเปิดหน้าต่างดูก่อนว่าวันนี้ แดด ฝน หรือหิมะ แล้วค่อยคิดแผนใหม่จนออกมาเป็น 6 วัน 6 สถานที่ในรีวิวนี้ ทั้งหมดเที่ยวคนเดียวได้ง่ายๆ เดินทางสบายๆด้วยรถไฟและบัส แถบนี้มีเมืองออนเซ็นเยอะเลย ผู้สูงวัยเลยเต็มขบวนรถไฟไปหมด ไม่ใช่แค่มาเที่ยวออนเซ็นนะ แต่ละคนแบกมาทั้งไม้เดินเขาและกล้องเลนส์โตๆ
คงจำกันได้ดีกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเมืองนี้เมื่อปี 2011
เราเชื่อจริงๆว่าถึงฟุกุชิมะจะสวยแค่ไหน แต่ถ้าทุกคนยังกลัวในความปลอดภัย ก็คงไม่มีใครอยากไปเที่ยว นี่เลยเป็นรีวิวที่ทำงานหนักสุดเพื่อถ่ายทอดเรื่องยากให้ฟังดูง่าย ทุกคนจะได้รู้ว่ารังสีจากสิ่งแวดล้อมที่เราได้ระหว่างเที่ยว 6 วัน มันก็พอกับการ x-ray ฟันแค่นั้นเอง ถ้าสนใจลองตามไปอ่านกันนะ : click
Jododaira
ถ้าอยากดูใบไม้เปลี่ยนสีใน Fukushima กลางเดือนตุลาคม ถนนที่ขึ้นชื่อมากๆก็ คือ Bandai azuma skyline และ Bandai azuma lakeline ที่ต่อเนื่องกัน โดยเส้นสกายไลน์จะคดเคี้ยวไปตามภูเขา กลางเส้นทางนี้เองจะมีที่ราบสูงเป็นจุดแวะพัก ชื่อ Jododaira
โจโดไดระมีเทรลให้เดินเที่ยวเยอะเลย ตั้งแต่สั้นๆชั่วโมงเดียวไปจนถึงยาว 2 วัน วันนี้จัดเทรลเบาๆให้ตัวเอง 2-3 เส้นทาง คือวนรอบภูเขาไฟ ไปพื้นที่ชุ่มน้ำ และไปดูทะเลสาบ
- Jododaira Marshland
ที่ราบลุ่มและพื้นที่ชุ่มน้ำรอบๆโจโดไดระจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนในฤดูใบไม้ร่วง มันดูแห้งกรอบ แต่ยังมีดอกไม้ฟูๆขาวๆขึ้นแซม เราสามารถเดินสำรวจทั้งหนองทั้งบึง ทั้งพืชภูเขาไฟและดอกไม้แบบอัลไพน์ไปได้เรื่อยๆ สบายๆ ทางเดินเป็นไม้กระดานแคบๆ ปูยาวไปรอบ marshland แนะนำให้เดินช่วงเย็น อากาศดีมีหมอกบางๆ ทุ่งแห้งๆจะเป็นสีทองในแสงอาทิตย์ ไม่ไกลยังมีหอดูดาวโจโดไดระ เป็นหอดูดาวสาธารณะที่ได้ชื่อว่าสูงสุดในญี่ปุ่น ทางเส้นนี้เดินซักครึ่งชั่วโมงก็วนออกแล้ว
- Okenuma Pond
เห็นในแผนที่ว่าไม่ไกลจาก marshland จะมีบึงน้ำอยู่ เป็นทางเดินสั้นๆไปกลับไม่ถึงชั่วโมง เลยลองเดินไปดูซะหน่อย ทางเดินขึ้นเขานี่ไม่ยาก ผ่านต้นไม้แห้งๆ ดูรกร้างและไม่มีคนเลยจนตอนแรกไม่กล้าเดินต่อ ตามต้นไม้มีเศษผ้าผูกไว้เป็นระยะ พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว อยู่ๆก็เกิดกลัวความเงียบขึ้นมา แต่จำได้ว่าดูจากแผนที่มันไม่ไกล เลยตัดสินใจวิ่งๆขึ้นไป พอมุดซุ้มต้นไม้ได้ ก็มาโผล่ที่บึงได้พอดี มาตอนแดดแรงๆน้ำคงฟ้า แต่ตอนนี้ใกล้มืดแล้ว น้ำเลยเริ่มดำ - Mt. Azuma-Kofuji
ภูเขาอาซูมะโคฟูจิ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ เราสามารถ ขึ้นไปเดินวนรอบๆปากปล่องภูเขาไฟได้ เดินไม่ยากแต่ต้องระวัง เพราะพื้นที่ เหยียบจะเป็นกรวดหินก้อนเล็กๆ ถ้าก้าวไม่ระวังอาจไถลยาวตกปล่องไปเลยก็ได้ เพราะไม่มีที่กั้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เดินครบกลับลงมาถึงจุดเริ่มต้นได้แล้ว ความหมายของ Kofuji คือฟูจิน้อย เพราะมีรูปร่างกรวยสมมาตรแบบภูเขาไฟฟูจิ
Marusei Orchard
เที่ยวคนเดียวทั้งสวนเลยวันนี้ พีช แพร์ องุ่น เมล่อน เชอร์รี่ ถูกเก็บไปหมดแล้ว เหลือแต่แอปเปิ้ล คุณป้าสอนวิธีและบอกข้อห้ามนู่นนี่เป็นภาษาญี่ปุ่นก็ให้ถังพลาสติกกับมีดมา พร้อมกับเวลา 30 นาทีที่จะเก็บกินกี่ลูกก็ได้ แอปเปิ้ลสวยๆทั้งนั้น ลูกอ้วนล้นมือ มีทั้งสีแดงสีเหลือง ถ่ายรูปเพลินๆลืมเก็บกิน กว่าจะรู้ตัวก็เหลืออีก 10 นาที ทีนี้เลยรีบยัดๆๆ กินทันไป 2 ลูกใหญ่
ข้างหน้าสวนมีร้านพาร์เฟ่ต์ผลไม้ด้วยนะ ไอติมโปะผลไม้สดน่ากินมากเลย แต่ 4 โมงกว่าก็ปิดแล้ว อดกิน จริงๆแถบนี้มีสวนผลไม้เยอะ แต่เลือกมา Marusei Orchard เพราะสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆด้วยรถไฟจาก Aizu Wakamatsu
Mishima
การมาเที่ยวแถบ Aizu ทำให้เรามีโอกาสได้นั่งรถไฟสาย Tadami หลายครั้ง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนมันวิ่งสวยๆข้ามน้ำซักที จุดที่สวยอยู่ที่เมือง Mishima สามารถนั่งรถไฟสายนี้มาลงที่สถานี Aizu Miyashita แล้วเดินไปยัง Tadami River first bridge viewpoint จุดชมวิวทั้ง 4-5 จุดตั้งแต่ริมน้ำจนสูงขึ้นไปบนเขาได้เลย อากาศวันนี้ไม่เป็นใจนัก ฝนตกตลอดวัน ตอบรับข่าวที่ว่ากำลังจะมีไต้ฝุ่นพัดผ่านฟุกุชิมะในคืนนี้พอดี เราเลยแค่เดินเล่นอยู่ในเมืองดีกว่า ขอไม่เดินขึ้นเขาไปดูรถไฟละกัน
เมือง Mishima นี่เล็กและน่ารักดี เดินถ่ายรูปธรรมชาติแถบนี้เล่นก็อิ่มแล้ว แต่สำหรับใครที่อยากถ่ายติดรถไฟในรูปด้วย สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมเช็ครอบรถไฟที่จะวิ่งข้ามสะพานไว้ก่อน แต่ละฤดูก็จะมีจำนวนรอบและตารางไม่เหมือนกัน สามารถหยิบใบปลิวจาก tourist info หรือจะเช็คเองจาก google map ก็ได้ ถ้าเช็คเองให้เสิร์ชรอบรถไฟที่วิ่งระหว่างสถานี Aizu-Hinohara และ Aizu-Nishikata เนื่องจากสะพานเหล็กไดอิจิเคียวเรียว Daiichi Kyouryou (Tadami River first bridge) ที่รถไฟจะวิ่งผ่านแม่น้ำทาดามิตั้งอยู่ระหว่าง 2 สถานีนี้
จริงๆรถไฟสายทาดามิที่วิ่งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิมะต้องจอดทั้งหมด 38 สถานี แต่ปัจจุบันมี 6 สถานีที่ปิดซ่อมแบบไม่มีกำหนดเปิด เนื่องจากเมื่อกลางปี 2011 มีพายุใหญ่ถล่มจนทั้งสถานีและรางรถไฟช่วงกลางสายเสียหายต่อเนื่องกัน คนที่ต้องการนั่งไปสุดสายจึงต้องเปลี่ยนไปต่อรถบัสแทน ดังนั้นถ้าเสิร์ชหารอบรถไฟใน google map แล้วมีคำเตือนเรื่องนี้ไม่ต้องตกใจ สถานีที่ปิดไม่กระทบกับคนที่จะเดินทางจาก Aizu Wakamatsu ไปดูวิวที่เมือง Mishima
Goshikinuma
การระเบิดตัวของภูเขาไฟบันได Bandai เมื่อ 130 ปีก่อนทำให้ดินและหินตกลงมากั้นทางไหลของแม่น้ำจนเกิดเป็นบึงและทะเลสาบขึ้นมามากมาย แร่ธาตุภูเขาไฟทำให้น้ำในแต่ละบึงมีสีสันที่ต่างกันออกไปจนได้ชื่อว่า Goshikinuma หรือบึงน้ำ 5 สี Goshiki (5สี) Numa (บึงน้ำ)
เส้นทางเดินเที่ยวมีแค่เส้นเดียว ผ่านครบทุกบึงและทะเลสาบเลย ระยะทางแค่ 3.6 ชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่บอกเราว่าเดินชั่วโมงเดียวสบายๆ แต่เราก็หมดไปตั้ง 2 ชั่วโมง เพราะแวะถ่ายรูปได้ตลอดเวลา ใบไม้ทั้งบนกิ่งและบนพื้นดินเต็มไปด้วยสีเหลืองส้มแดง ตัดกับน้ำในทะเลสาบที่ยังคงเป็นทั้งสีฟ้าสีเขียว แม้อากาศจะขมุกขมัวมีหิมะแรกของฤดูกาลตกลงมา แต่สีของน้ำก็ยังสดใสชัดเจน
ส่วนตัวชอบ Bentennuma Lake ที่อยู่ด้านในมากที่สุด ดูลึกลับดี น้ำในสระเป็นสีฟ้า แต่พอรวมกับต้นกกเหลืองๆ ริมบึง น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว
ในขณะที่หลายคนเทคะแนนให้ Bishamon Lake ว่าสวยที่สุด น้ำสระนี้เป็นสีฟ้าเข้ม มีต้นไม้แดงเป็นฉากหน้าและภูเขาหิมะ Bandai เป็นฉากหลัง ทะเลสาบบิชามอนเปิดให้คนลงไปพายเรือเล่นกับฝูงปลาคาร์พได้
ถ้าจะให้ตื่นเต้นทุกบึง ควรนั่งรถบัสไปลงที่ Urabandai Kogen Eki แล้วเดินเที่ยว Goshikinuma nature trail ผ่านบึงต่างๆ จนมาออกที่ Goshikinuma-iriguchi (Goshikinuma Entrance) อาจจะสวนทางกับคนอื่น แต่เราว่าความสวยมันจะไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จากบึงเล็กก็จะเริ่มเห็นบึงใหญ่และทะเลสาบที่ทุกคนรักเป็นอันดับสุดท้ายพอดี
Minamiaizu & Maezawa Magariya
บอกไปแล้วว่าสิ่งที่ชอบที่สุดในทริปนี้คือวิวข้างทางของรถไฟ รถไฟที่ว่าคือสาย Aizu มันเป็นวิวแบบญี่ปุ่นในฝัน หมู่บ้านตามรายทางถูกขนาบด้วยภูเขาที่กำลังเปลี่ยนสี อดคิดไม่ได้ว่านี่ต้องเป็นช่วงที่สวยที่สุดของฤดูแล้วแน่ๆ จริงๆวันนี้ตั้งใจนั่งรถไฟแล้วไปต่อบัสเข้า Oze แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกปีที่ไปไม่ทัน หิมะตกเร็วกว่าที่คาด ทางเข้าจึงถูกปิดไปก่อนวันสุดท้ายของฤดูกาลท่องเที่ยวจะมาถึง
เลยได้เดินแกร่วที่เมือง Minamiaizu ไปพลางๆระหว่างตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อดี แต่วิวที่เจอสุดยอดมาก อยากขอบคุณที่โอเซปิดเลยได้หลงมาอยู่นี่ มันเล็กจนอยากเรียกว่าเป็นหมู่บ้าน ใบไม้ ต้นไม้ และภูเขากำลังแข่งกันเปลี่ยนสี ทางเดินขนานไปกับธารน้ำสีฟ้าๆ เดินเล่นไปเรื่อยๆได้ไม่เบื่อเลย
เราตัดสินใจนั่งรถบัสไปหมู่บ้านนึงที่เห็นจากแผ่นพับบนรถไฟ นอกจากคุณลุงคนขับก็มีเราอยู่คนเดียว ครองที่นั่งทั้งคัน ยิ่งขึ้นเขาอากาศยิ่งหนาว วิวสวยขึ้นเรื่อยๆทั้ง 2 ฝั่ง เลยวิ่งไปวิ่งมาระหว่างหน้าต่างสองด้าน หลังๆพอผ่านวิวสวยๆ ผ่านน้ำตก ลุงคนขับมีจอดรถแล้วเรียกให้เราวิ่งลงไปถ่ายรูปด้วย เหมือนมีบัสส่วนตัวนำเที่ยวเลย ประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงที่หมาย ลุงให้กาแฟอุ่นๆมากระป๋องนึง กำไว้ตลอดเลย อุ่นสบายเหมือนมีฮีทเตอร์ส่วนตัว
หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่า Maezawa Magariya สงบเงียบเร้นกายออกจากชุมชนใหญ่ มาอยู่ที่นี่ เราได้เป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวอีกแล้ว มาเอซาวะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าซามูไรเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทางเข้ามีแม่น้ำขวางอยู่ ต้องเดินข้ามสะพานไป ผ่านแปลงผัก สวนดอกไอริส ต้นมัลเบอร์รี่และเชอร์รี่
ที่นี่ต้องเดินเที่ยวเบาๆ ไม่เหยียบย่ำทำลายทั้งความสงบและแปลงผักของเจ้าของบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นหมู่บ้านห้ามสูบบุหรี่ด้วย เพราะหลังคาที่มุงด้วยฟางและหญ้าแห้งๆนั้นติดไฟง่าย
มาเอซาวะไม่มีการเปิดร้านขายของที่ระลึกอย่าง Shirakawago หรือ Ouchi Juku เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว การขายของของชาวบ้านคือตีไม้เป็นบ้านหลังจิ๋วตั้งไว้หน้าบ้านตัวเอง วางพืชผักผลไม้เล็กๆน้อยๆหรืองานฝีมือไม่กี่ชิ้นทิ้งเอาไว้พร้อมกล่องใส่เงิน และถุงให้บริการตัวเอง ดีจัง รู้สึกเค้าเชื่อใจนักท่องเที่ยวอย่างเรา
ถ้าอยากเห็นหมู่บ้านในวงล้อมของภูเขาให้เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามแล้วปีนขึ้นเขาลูกตรงหน้าขึ้นไปเลย ชันหน่อย แล้วทางก็ไม่มีป้ายอะไร จำไว้ว่าไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เจอทางแยกซ้ายเมื่อไหร่ ให้เลี้ยวซ้าย ซัก 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้ว มันเป็นช่องว่างเล็กๆระหว่างต้นสน ที่สามารถมองทะลุไปยังหมู่บ้านฝั่งตรงข้าม เห็นแล้วอยากกลับมาอีกครั้งในฤดูหนาวตอนที่หิมะ 2 เมตรท่วมหมู่บ้าน
ขอเตือนว่าที่นี่เล็กมาก ถ้าไม่ได้เพลินกับการถ่ายรูปหรืออินกับธรรมชาติเล็กๆน้อยๆ คงเดินเที่ยวได้ทั่วใน 20 นาที
Ouchi Juku

ใครที่ยังติดใจหมู่บ้านญี่ปุ่นหน้าตาคลาสสิค หรือเคยติดใจหมู่บ้าน Shirakawago มาแล้ว ก็น่าจะถูกใจ Ouchi Juku ของฟุกุชิมะได้ไม่ยาก ที่นี่มีบ้านเก่าสมัยเอโดะเรียงกันไป 2 ฝั่งถนน ทุกหลังถูกมุงหลังคาด้วยฟางและหญ้าแห้งหนาเตอะ สุดถนนจะมีภูเขาลูกย่อมๆสามารถเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อดูวิวหมู่บ้านโออุจิจูกุจากมุมสูงได้
สวยแต่ส่วนตัวไม่ค่อยถูกใจ มันเต็มไปด้วยกรุ๊ปทัวร์และนักท่องเที่ยว บ้านเก่าแต่ละหลังก็เปิดเป็นร้านขายของประเภทสนองนักท่องเที่ยวเหมือนๆกันไปหมด รู้สึกเหมือนเป็นหมู่บ้านจำลอง ไม่ใช่ของจริง ถ้าอยากเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ แนะนำให้ลองดู Maezawa Magariya อาจจะเล็กจนเดินเที่ยวไม่กี่นาที แต่รับรองว่ามีเสน่ห์ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเลย
หากมีเวลาเที่ยวทั้งวัน ระหว่างทางที่นั่งรถไฟมาจากเมือง Aizu Wakamatsu คุณจะผ่านเมืองออนเซ็นหลายแห่งเลย แทบทุกป้ายที่รถไฟหยุดจะมีแหล่งน้ำร้อนให้ไปแช่ตัวกันทั้งนั้น ถ้าเวลาเยอะก็ไปนอนเล่นตามเรียวกัง หรือถ้าเวลาน้อย บางสถานีก็มีบ่อน้ำร้อนให้ลงไปแช่เท้าได้เพลินๆระหว่างรอรถไฟด้วย
welovefukushima
- amanoshokudo, inawashiro 10/10
ร้านที่เดินหลงไปหลบลมหนาวเล่นๆ แต่เจ้าของก็ชวนไปนั่งผิงไฟ ข้าวหมูทอดร้อนๆที่อร่อยทะลักชาม ใต้กองหมูทอดที่เห็นยังมีหมูทอดรออยู่อีกชั้นนะ ถึงจะชุ่มซอสแบบสุดๆ แต่ก็กรอบจนคำสุดท้าย รสชาติคล้ายซอสทงคัตสึ - kumanoya, nanukamachi – aizuwakamatsu 10/10
ดังโงะและขนมลูกกลมๆ คุณป้าร้านขนมใจดีให้มา ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงกวน เนียนละมุน เราเป็นคนไม่ชอบถั่วแดงกวนยังหลงรักขนมคุณป้าเลย - กาแฟกระป๋องนั้น คือที่เราใช้แทนฮีทเตอร์ในวันหิมะตก ลุงคนขับรถประจำทางใจดีให้มา
- tagoto, nanukamachi – aizuwakamatsu 8/10
อาหารชื่อดังอีกอย่างของแถบนี้คือเนื้อม้า ลองไปกินซาชิมิเนื้อม้าดิบกันดู เราลองแล้วนุ่มเหมือนปลา กินกับมิโสะ ไม่เหม็นสาบเลย อาหารเต็มเซทของร้านอาหารกึ่งเรียวกังแห่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่อร่อย เราพักอยู่ 3 วัน ได้กินอาหารเช้ากว่า 20 อย่างที่ไม่ซ้ำกันเลย อาหารเย็นมีเทมปุระจิ้มผงมัทฉะ เต้าหู้เนียนที่ทำจากนมข้าวโพด และสารพัดจะประดิษฐ์ประดอย!
ลองเก็บเมืองน่ารักใน Fukushima ไว้เป็นตัวเลือกท่องเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีดูนะ
ยืนยันว่านอกจากความสวยสงบ หลายๆเมือง ยิ่งแถบ aizu มันปลอดภัยแล้วจริงๆ :)