โปแลนด์ ประเทศที่ถูกลืม แต่ก่อนเคยหายไปจากแผนที่โลกเลยก็มี หลายๆคนอาจจะไม่รู้ว่าโปแลนด์ตั้งอยู่จุดกึ่งกลางของทวีปยุโรป ใครตีกันก็เลยใช้เป็นทางผ่านตลอด แต่นั่นแหละที่ทำให้โปแลนด์น่าสนใจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมแบบผสมผสาน ธรรมชาติ ป่าสน และที่สำคัญค่าครองชีพที่ถูกกกก ราคาเอเชีย!
เรามักไม่มีแผนการเดินทางที่แน่นอน โปแลนด์ครั้งนี้ เราไปง่ายๆตามเส้นทางเดินรถไฟในประเทศเป็นหลัก ถ้ารถไฟวิ่งต่อกันนานๆ ก็จะหยุดพักค้างคืนตามเมืองรายทาง เมืองละวันสองวัน จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป โดยมีเป้าหมายหลักคือ ป่าสน และค่ายกักกันนาซี
เราเริ่มจากขึ้นเรือรอบดึกที่ สวีเดน นอนในถุงนอนอยู่บนบาร์ เพราะเตียงสำหรับผู้โดยสารเต็มหมด เกือบๆตีห้าก็ตื่นเพราะมีประกาศภาษาแปลกๆ เดาว่าคงถึงโปแลนด์แล้วสินะ
เมืองแรก szczecin เมืองริมขอบซ้ายสุดที่รถไฟหลักเร่ิมวิ่ง ทีแรกตั้งใจว่าจะพักผ่อน ไม่ออกไปไหน เพราะเจอแต่หิมะนานๆ เริ่มทำเราล้า… แต่ผิดคลาด เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารัก และมีเสน่ห์เฉพาะ ต่างจากเมืองอื่นๆในยุโรป ทั้งเมืองจะมีโบสถ์และสถาปัตยกรรมรูปร่างไม่คุ้นตาและไม่ซ้ำกันกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง เดินง่าย สนุก เหมือนเดินเล่นอยู่ในโลกของเกมส์
จุดหมายต่อไปคือป่าสน น่าแปลกที่ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสนที่นี่มีไม่มากอย่างที่เราคิด เราใช้เวลางงๆอยู่พักใหญ่ จนตัดสินใจเซฟรูปในเนต แล้วยื่นถามคนแถวนั้นดู ว่าจะต้องนั่งรถไฟและเดินต่อไปที่ไหน
ขามาหิมะตกหนัก แต่จากสถานีรถไฟมาไม่นานเราก็ถึงทางเข้า เดินเข้าไปมีแต่ต้นส้นเต็มไปหมด เรียงรายเต็มสองข้างทาง เราเดินหลงอยู่ในป่าเป็นชั่วโมง เพื่อตามหาต้นไม้งอที่เค้าว่ากัน แต่เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
หลงทางในป่าสนอยู่นาน โชคดีมากที่เจอคุณลุงคนนี้กลางป่า เรารีบวิ่งหาแล้วเปิดรูปต้นไม้ที่saveมาให้ดู คุณลุงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราก็ฟังโปแลนด์ไม่ออก เราสองคนเลยหันไปหยิบกิ่งไม้คนละกิ่ง คุยกันแบบขีดๆเขียนๆบนหิมะแทน
ลุงกากบาทอันใหญ่แล้วจิ้มจึ้กๆ บอกว่าเรามาผิดทาง ให้ย้อนกลับไปเริ่มใหม่ เอ่อ
เราเดินย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ตามลายแทงที่ลุงวาดให้ พอไปถึงเลย อ๋อ ว่าท่ามกลางต้นไม้นับหมื่นๆต้น มีอยู่แค่ไม่กี่ร้อยต้นที่โคนงอ และกระจุกอยู่แค่บริเวณนี้เท่านั้นด้วย!
ต้นสนที่โคนงอเหล่านี้ ไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ บ้างก็เดาว่าอาจเป็นเพราะกองหิมะไปทับโคนหรือเปล่า แต่ทำไมถึงเป็นแค่บริเวณนี้นะ น่าสงสัย
หลายคนเชื่อว่าที่โคนต้นไม้งอได้ขนาดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่ๆ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์! อาจจะเอามาทำ เรือ เฟอร์นิเจอร์ หรืองานไม้อื่นๆก็ได้ แต่ไม่ได้สานต่องานไม้ของตัวเองจนสำเร็จ เพราะดันเกิดสงครามโลกขึ้นมาซะก่อน
ระหว่างทางหิมะตกหนัก ตอนแรกก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะไปบังโคนทำให้เราหาไม่เจอไหม แต่ของจริงใหญ่ว่าที่คิดไว้เยอะเลย นอนเล่นได้สบาย ;D
พยากรณ์อากาศวันนี้บอกว่าแดดออก เราเลยไปสถานีรถบัสตั้งแต่ตีห้าว่าจะไป hiking รับแดดซะหน่อย แต่พอไปถึง หิมะก็ตกหนักตลอดทั้งวัน
ป่านี้อยู่เมือง Zakopane ลงใต้ไปอีกสามชั่วโมง เราชอบที่นี่นะ วิวป่าสนสวยๆตลอดเส้นทางขึ้นลงเขา ถึงแม้ว่าถ้ามาหน้าร้อน จะเจอทะเลสาบสีฟ้า เรียกได้ว่าเป็นตาสีฟ้าอยู่กลางหุบเขา แต่ว่าหน้าหนาวที่นี่ก็สวยไปอีกแบบ
ครั้งนี้ได้เจอกับภาวะ white-out อย่างจังๆ เวลาเกิดตาเราจะเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวล้วน มองไม่เห็นวัตถุที่เคยอยู่ข้างหน้า เห็นเป็นหิมะฟู้วๆ ปลิวเร็วๆผ่านตาใกล้ๆแทน
ต้นสนที่เพิ่งจ้องอยู่ๆก็หายไป ต้องหยุดเดิน รอจนทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติก่อนถึงเดินต่อได้ เห็นข้างหน้าเป็นฉากสีขาวอยู่สักพัก ก็มีม้าโผล่มาเฉยเลย ทั้งๆที่รถม้าจะมีกระดิ่งเสียงค่อนข้างดัง แต่ก็เดายากจริงๆว่ามันจะโผล่มาตอนไหนเวลาเกิดภาวะนี้
ระยะทางเดินขึ้นลงเขา 20 กิโลเมตร หิมะตกหนักตลอดขนาดเล่นสกีลงเขาได้เลย เร็วและสะดวกกว่าใช้เท้าเดินอีก! เป็นเส้นทางเดินเขาที่สนุกดีนะได้เห็นหลายวิธี ตั้งแต่สกี Snowboarding พ่อแม่จูงเลื่อนลากให้ลูกๆ ยันม้าลาก
มาถึงจุดหมายหลักของทริปนี้ คือ ค่ายกักกันนาซี
หลายคนคงรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นอย่างดี (นาซีเรียกว่าการแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย) มีการสร้างค่ายกักกันอยู่หลายค่าย แต่ค่ายที่ใหญ่ที่สุดถูกสร้างคือค่าย Auschwitz เพราะถูกคำนวณมาแล้วว่าเป็นอยู่จุดศูนย์กลางที่ดีที่สุดต่อการขนย้ายชาวยิวมาจากทั่วทั้งยุโรป ถึงขนาดมีการสร้างรางรถไฟตรงดิ่งไปจอดกลางค่ายเลย
ตรงประตูทางเข้า มีอักษรเหล็กดัดเป็นภาษาเยอรมันว่า “Arbeit macht frei” แปลว่า “การทำงานนำมาซึ่งอิสรภาพ” แต่ในความเป็นจริงนั้น มีชาวยิวกว่าล้านคน เดินเข้าประตูนี้ไป ตั้งใจทำงานแต่ไม่เคยได้กลับออกมา
พอมาถึงค่ายชาวยิวจะถูกคัดแยกโดยหมอเยอรมัน ใครที่อ่อนแอไม่สามารถใช้งานได้ เช่น คนแก่ คนท้อง คนพิการ และเด็ก จะถูกฆ่าทิ้งทันที โดยหลอกว่าจะพาไปอาบน้ำ
ชาวยิวที่เหลือจะกลายเป็นนักโทษ ถูกใช้แรงงานหนัก ถูกนำมาทดลองทางการแพทย์โดยหมอนาซี ในค่ายจะล้อมไว้ด้วยลวดหนามไฟฟ้า มียามเฝ้าอย่างแน่นหนา บางคนถึงกับยอมถูกไฟฟ้าช็อตจนตาย เพราะไม่อยากทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่
การคัดเลือกโดยหมอนาซี จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ตู้รถไฟจอดและถูกเปิดที่กลางค่าย ถือเป็นภาพความทรงจำแรกของชาวยิวทุกคนที่อยู่ในค่ายนี้
ภาพนี้เป็นภาพวาดของเด็กๆที่วาดไว้ตามกำแพงค่ายนอนของตัวเอง ห้องนี้เป็นห้องที่เราชอบที่สุด ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆกำแพงสีขาว มีรูปวาดขนาดพอกับนิ้วก้อย ถูกวาดต่อกันไว้บนกลางกำแพง แม้ภาพวาดจะเป็นสิ่งที่ดูสดใสที่สุดในค่าย แต่ยิ่งเดินดูยิ่งรู้สึกตรงกันข้าม
โบกี้รถไฟนี้เป็นโบกี้จริงที่ใช้พาชาวยิวจากประเทศอื่นๆทั่วยุโรป (มีแค่ Denmark ประเทศเดียวที่คัดค้านไม่ยอมส่งคนมา) มาที่ค่าย Auschwitz II ค่ายที่สร้างขึ้นเพิ่ม อยู่ข้างๆค่ายเดิม เพื่อรองรับชาวยิวที่มากขึ้น
ทุกคนที่มาต่างเข้าใจว่าจะถูกย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ เค้าขึ้นรถไฟมาพร้อมกระเป๋าเดินทาง ที่ขัดรองเท้า หวี ตุ๊กตา และข้าวของต่างๆที่ไม่มีวันได้ใช้อีกในค่ายนี้ และก็มีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตระหว่างเดินทาง เพราะข้างในแออัดมากไม่มีที่ให้นั่ง ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ต้องยืนเบียดๆกันเป็นวันเป็นคืน
หน้าหนาวหิมะจะตกตลอด หนาวและทรมาน แต่ทำไมเค้าไม่หนีกัน ?
ถ้ามีนักโทษคนไหนหลบหนี ครอบครัวของเค้าจะถูกจับและส่งมาที่ค่ายถึงแม้จะไม่ใช่ชาวยิว และจะต้องอยู่ในฐานะนักโทษจนกว่านักโทษที่หนีจะถูกตามตัวพบ แน่นอนว่านักโทษทุกคนจะถูกแจ้งให้ทราบถึงกฏข้อนี้
ในค่ายจะมีรูปถ่ายของนักโทษหน้าตรงใส่กรอบไว้ มีชื่อ มีวันที่เข้ามาอยู่ และวันที่เสียชีวิตระบุไว้ แต่จำนวนรูปถ่ายกลับน้อยกว่าจำนวนรายชื่ออย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังๆคนเริ่มเยอะจนถ่ายเก็บไม่ไหว และอีกเหตุผลที่ต้องเลิกถ่ายภาพเก็บไว้คือ นักโทษมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปมากในเวลาแค่ไม่กี่เดือน จึงต้องเปลี่ยนมาใช้การสักหมายเลขลงบนผิวหนังแทน
ในรูปนี้คือนักโทษหญิงในหน่วยพยาบาล ขนาดได้รับการดูแลดีกว่าคนอื่นๆไม่ต้องทำงาน ได้นอนบนเตียง แต่เพียงแค่ไม่กี่เดือน… ก็ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยจริงๆ
กำแพงนี้ถูกขนานนามว่า “death block” นักโทษที่ถูกส่งมาอยู่ที่อาคารนี้ส่วนมากจะเป็นนักโทษการเมือง นักโทษที่พยายามจะหลบหนี หรือติดต่อกับโลกภายนอก
ด้านในสุดของตึกขวาจะมีห้องเล็กๆไว้ให้เตรียมตัว นักโทษจะต้องถอดเสื้อผ้า ซักเก็บไว้ให้นักโทษคนอื่นใช้ต่อ จากนั้นล้างตัวให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินออกมาที่สนาม หันหน้าเข้ากำแพง แล้วโดนประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า

หมอนาซีที่ทำงานในค่ายจะมีบ้านพักส่วนตัวอยู่นอกค่าย ไม่ไกลมากนัก ทุกๆวันเค้าจะเดินทำงานในตอนเช้า ทำการทดลองกับคน มารมแก๊ส มาผ่าสมองเด็ก มาฉีดยา แล้วตกเย็นก็กลับบ้านไปเจอลูกเจอภรรยาตามปกติเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้สงคราม หมอใหญ่ของค่ายถูกตัดสินให้ประหารชีวิต เค้าถูกนำมาแขวนคอไว้ที่แท่นนี้ ซึ่งห่างจากบ้านของเขาแค่ไม่กี่ก้าวเช่นกัน

ก่อนทุกอย่างจะสิ้นสุดลง นาซีรู้ตัวว่ากำลังจะพ่ายแพ้จึงเริ่มทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง หลายค่ายถูกทำลายด้วยระเบิดสิ่งของต่างๆของนักโทษ เช่น กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว ก็ถูกนำเอาไปซ่อนไกลๆ
แต่ความลับไม่มีในโลก เรื่องราวต่างๆค่อยๆถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก แม้แต่คนไทยเราต่างก็คุ้นหูกับชื่อนี้ดี หลายคนเอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลกขบขัน หนวดจิ๋ม ท่าเคารพไฮล์ เครื่องหมายสวัสติกะ แต่สำหรับชาวยิวที่รอดชีวิตมาได้นั้น กลับเป็นเหมือนบาดแผลในใจที่ยากจะลืม
แม้ว่าสุดท้ายสงครามจะจบลง กลายเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ให้เราได้ศึกษาเพื่อเป็นบทเรียน แต่เมื่อสงครามเก่าๆสิ้นสุดลง สงครามใหม่ๆกลับยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆบนโลกใบนี้
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า
“ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย”
แล้วเราล่ะ.. เราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์กันบ้าง?
รายละเอียดค่าใช้จ่ายดูได้ที่นี่ – Poland Budget