กรีนแลนด์ ประเทศที่มีแต่น้ำแข็ง ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้นสักต้น และก็ดันมากรีนแลนด์ตอนหน้าหนาว ฤดูที่ทางตอนเหนือมืด 24 ชม. ไม่มีแสงอาทิตย์ทั้งวันตลอดเป็นเดือนๆ เดินทางด้วยเรือก็ไม่ได้ ไปไหนมาไหนต้องบินอย่างเดียว เพราะทะเลก็กลายเป็น น้ำแข็ง!
พื้นที่เกินกว่า 80%ของที่นี่เป็นน้ำแข็ง มีพื้นที่ที่อยู่อาศัยได้เพียงแค่ขอบๆของประเทศ แต่เมืองเลยกระจุกแยกตัวกันเป็นหย่อมๆ เท่าที่ธรรมชาติจะอำนวย ในช่วงหน้าร้อนการเดินทางหลักที่นี่คือเรือ แต่พอถึงหน้าหนาว แม้แต่ทะเลก็เป็นน้ำแข็ง ต้องเปลี่ยนมาบินเครื่องอย่างเดียว ยิ่งอยู่ยิ่งสงสัยว่า “ทำไมที่นี่ถึงชื่อ Greenland ไม่เห็นเขียวตามชื่อเลย”
Nuuk -> Kangeq -> Qoornoq -> Kangerlussuaq
เราบินจากไอซ์แลนด์มาลงที่ Nuuk ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กแต่ก็ครบครัน รถเมล์ขับวนจอดทุกป้ายชั่วโมงเดียวก็ครบแล้ว
อากาศที่นี่ไม่เลวร้ายนัก ประมาณ -15 ํc มีพระอาทิตย์โผล่วันละสามสี่ชั่วโมง ได้เห็นสภาวะ White-out ครั้งแรกที่นี่ ลม หิมะใหม่ หิมะเก่า ตีกันจนฟุ้งขาว บังทุกอย่างจนมืดสนิท เห็นเป็นแค่ลมสีขาวทึบพัดแรงๆผ่านหน้า ไม่สามารถกะระยะใกล้ไกลได้เลย บ้านสีสดๆและทะเลที่เคยเห็นว่าอยู่ทิศนี้ก็หายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน รอบตัวมีแต่สีขาว ทั้งอันตรายทั้งมหัศจรรย์
กรีนแลนดิกบางคนมีหน้าตาคล้ายๆคนเอเชีย ตาเรียวๆเล็กๆ บางคนก็ฝรั่งนิดๆ เห็นแล้วระบุไม่ได้ว่าเค้ามาจากไหน ไม่อ๋อ เหมือนเวลาที่เจอคน จีน หรือ ญี่ปุ่น เราก็ไม่รู้ละเอียดถึงประวัติความเป็นมามากนัก
คนที่นี่เล่าว่า ในสมัยก่อนนู้น คนแทบไม่หลงเข้ามาที่นี่ ถ้ามีแขกมาเยือนทีถือว่าพิเศษมากๆ ก็จะชวนมาทานอาหารที่บ้าน พอทานเสร็จสามีก็ยินดีออกไปนอกบ้าน เหลือไว้แต่ภรรยากับแขกผู้มาเยือน บางหมู่บ้านก็มีงานประจำปี ที่ทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน… ปิดไฟแล้วก็มีเซ็กซ์หมู่แบบมืดๆกัน ไม่ให้รู้ว่าใครเป็นใคร อาจเป็นเพราะแบบนี้มั้ง เลยทำให้คนที่นี่หน้าตาหลากหลายมาก
ในปี 1976 กรีนแลนด์ทดลองนำต้นไม้มาปลูก ใช้ต้นคริสมาสที่ขึ้นในที่หนาวๆได้มาประเดิม แต่ก็ไม่สำเร็จ ต้นปี 2015 เพิ่งสูงเท่าได้เท่าเอวเราเอง แม้ดินและอากาศที่นี่จะไม่เอื้ออำนวยให้ปลูกผักผลไม้เท่าไหร่ แต่ที่นี่มีเนื้อให้กินนะ ลองเดาเล่นๆดูที่นี่เค้ากินเนื้ออะไรกัน :)
คำตอบคือ เนื้อสิงโตทะเลนั่นเอง เนื้อเอามากิน หนังเอามาทำเป็นถุงมือ เค้าให้เหตุผลว่าถ้ามันสามารถว่ายน้ำในน้ำเย็นเจี๊ยบได้ หนังมันต้องอุ่นมากแน่ๆ และก็อุ่นจริงๆนะ เนื้อปลาวาฬก็เจอเยอะเหมือนกัน ในร้านอาหารไทยก็มีลาภปลาวาฬเป็นเมนูแนะนำ แต่เนื้อมันจะสีแดงๆหน่อย (Whale hunting ที่นี่ถูกกฏหมาย และล่าเยอะติดอันดับสามของโลกรองจาก Japan และ Norway)
ส่วนของในซุปเปอร์ส่วนใหญ่จะขายแบบแช่แข็ง ถูกฟรีซไว้ตั้งแต่ตอนจับได้ ไม่ก็ตอน Import จากที่อื่นมา ถ้าอยากได้เนื้อสดต้องไปตลาดเฉพาะ นายพรานจะเอาสัตว์ที่จับได้มาวางขายไว้ที่นี่ แล้วแต่ว่าเค้าจะจับอะไรได้ วันนั้นที่ไปเค้าจับนกหน้าตาคล้าย เพนกวิ้นได้พอดีเลย
ก่อนนั่งเครื่องบินเล็กย้ายมาเมือง Kangerlussuaq คนที่ Nuuk หลายคนเตือนว่า หนึ่งวันที่นี่เหมือนหนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือนยาวนานเหมือนหนึ่งปี หนาวมากกกกเพราะมันอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ อุณหภูมิปกติประมาณ -37 ํc และไม่มีอะไรเลย มีแค่คนทำงานที่สนามบินและคนที่มารอต่อเครื่องบินไป Denmark
แต่สี่ห้าวันของเราที่นี่คุ้มมากได้ Hiking แบบเย็นสุดขั้ว, ข้ามทะเลสาบน้ำแข็ง, เดินบนภูเขาน้ำแข็ง และเจอตัว Musk ox ดาราดังของที่นี่

นอกจากเครื่องบินเล็กแล้ว คนที่นี่ก็มีใช้ Snowmobile ที่วิ่งบนถนนก็ได้ บนหิมะก็ดี บนน้ำแข็งในทะเลก็ยังได้อีก!รถยนต์ก็เป็นพาหนะหลักขับในเมือง ถึงแม้จะเล็กแต่ก็หนาวจนเดินไม่ได้ กรีนแลนดิกขับรถเก่งมาก หมุนซ้าย หมุนขวา ล้อฟรี บนถนนที่เป็นน้ำแข็งได้อย่างชำนาญ หยุดก็ง่ายแค่เอารถชมก้อนหิมะ :D

เจอแล้ว !! เจ้า Musk ox แสนขี้กลัว
ทั้งคลานทั้งซ่อนถึงสี่ชั่วโมงเพื่อไม่ให้มันรู้ตัวแล้ววิ่งหนีไป ตัวจริงตัวใหญ่และขนเยอะมากกกก จนต้องหันไปถามพี่นายพรานว่า ล่าแล้วเอากลับบ้านยังไง เค้าบอกเค้าแล่เก็บแต่เนื้อส่วนที่กินได้ใส่เป้แบกกลับและเลือกยิงตัวที่เล็กหน่อย
ตอนเย็นเรากลับมาเจออีกสองตัวหน้าที่พัก มาทั้งตัวเลยแต่โดนตัดหัวออก นอนแผ่เต็มรถเข็นถูกขนกลับมาด้วย snow mobile อืมมมม วิธีใคร วิธีมันเนอะ
เมืองนี้เล็กมากจริงๆ มีแค่สนามบินแล้วก็บ้านไม่กี่หลัง เสาไฟไม่กี่ต้น เหมือนไม่ใช่เมืองเป็นแค่ถนนที่มีบ้านคนประปรายมากกว่า
เราอดถามไกด์ที่พาเรามา trekking ไม่ได้ว่า ทำไมเค้าถึงเลือกอยู่ที่นี่ เค้าบอกว่า เพราะมันสงบมาก ไม่มีคน เดินออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็เข้าเขตป่าแล้ว หิวก็แค่ออกไปล่าสัตว์ มีรายได้บ้างจากนักท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อน ทำทัวร์คายัค ปีนเขา ตั้งแค้มป์ เวลาได้นอนดูดาวบนหนังของตัว Musk ox ที่ฟอกเอง มันทั้งอุ่นสบายและสงบมากจริงๆนะ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของที่นี่ถูกปกคลุมด้วย Ice sheet มีมาตั้งแต่ดินแดนถูกค้นพบ มองออกไปจากฝั่งที่ไม่ได้เป็นบ้านหรือทะเล จะเป็นเห็นภูเขาน้ำแข็งสีขาวๆ ยาวสุดลูกหูลูกตา ไปเดินบนส่วนของน้ำแข็ง ก้มลงมองตรงเท้าที่ยืนอยู่จะเห็นเลยว่า ใสมากไม่มีอะไรเจือปนสักนิด และลึกจนเห็นเป็นสีดำ
ตอนนี้มีแค่กรีนแลนด์กับแอนตาร์กติกา ที่ยังเหลือ Ice sheet อยู่ ส่วนประเทศอื่นที่เคยมี ก็ละลายไปหมดแล้ว
ในรูปข้างล่างนี้คือ Ice berg เป็นก้อนน้ำแข็งที่แตกออกมาจาก Glacier ลักษณะพิเศษของมันคือจะลอยอยู่ตามน้ำและมีแค่ 10% เท่านั้นที่โผล่เหนือน้ำขึ้นมาให้เห็น นอกนั้นจะจมอยู่ข้างใต้ ก้อนนี้เห็นไม่ใหญ่มากแต่เวลาขับเรือไปใกล้ๆต้องระวัง ไกด์บอกว่าข้างใต้ลึกถึง 42 เมตรแหนะ
แต่ละคนมีความเชื่อเกี่ยวกับแสงเหนือไม่เหมือนกัน บางคนก็ว่ามันเปลี่ยนรูปได้แต่ตาจะมองไม่เห็นทันที ต้องหันไปที่อื่นก่อน บางคนก็ว่าจะเห็นเฉพาะในที่ที่มืดสนิทเท่านั้น บ้างก็ว่าขึ้นกับ Application ที่ทำนาย
เราเห็นแสงเหนือทั้งหมดสี่ครั้งด้วยกันแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลย บางคืนก็มานิ่งๆอ่อนๆ ต้องดูจากรูปถ่ายถึงจะเห็น บางคืนก็เต้นไม่หยุด เปลี่ยนรูปไว และใหญ่คลุมทั้งเขา เอาซะตกใจจนลืมถ่าย
คนที่นี่บอกว่าจริงๆ เค้ามีมาตลอดแหละ ทั้งกลางวันและกลางคืน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโชคดีเห็นตอนไหน :)
สุดท้ายนี้ กรีนแลนด์อีกหนึ่งประเทศที่ธรรมชาติสวยงามแต่คนไทยไม่ค่อยนิยมมา แผ่นน้ำแข็งอาร์คติก สัตว์ขั้วโลกที่หาดูไม่ได้จากที่อื่น วาฬเบลูกา หมีโพลาร์ หรือ นาร์วาฬ ยูนิคอร์นแห่งอาร์คติค… ตอนนี้น้ำแข็งขั้วโลกก็ละลายมากขึ้นทุกวัน ใครมีโอกาสต้องมานะ! :)
ส่วนค่าใช้จ่ายในกรีนแลนด์ดูได้ที่นี่ -> greenland-budget